วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ควบคุมอาหาร แล้วทำไมจึงไม่ผอมลง?

หลายคนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่อาจเริ่มต้นด้วยวิธีง่ายๆอย่าเช่นการควบคุมอาหารเนื่องจากไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย ไม่ต้องเหนื่อยหรือเสียเวลาแต่อย่างใด เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายเท่าไรนัก แถมยังเบาสบายตัวเนื่องจากน้ำหนักที่ค่อยๆลดลงอีก

แต่เอ.. สำหรับบางคนเนี่ย ลองควบคุมอาหารการกินดูแล้ว แต่น้ำหนักกลับไม่ลดลงเลยแปลกใจหรือเปล่าคะว่าทำไมวิธีนี้จึงใช้กับเราไม่ได้ผล ลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่าค่ะว่าการควบคุมอาหารของคุณเข้าข่ายในข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้หรือเปล่า



1) ไม่ทานอาหารเช้า

บางคนอาจเลือกการงดมื้ออาหารบางมื้อเพื่อควบคุมจำนวนแคลอรีที่ได้รับในแต่ละวันแต่คุณดันเลือกมื้อเช้าซึ่งถือเป็นมื้อสำคัญที่ร่างกายจำเป็นจะต้องได้รับพลังงานสำหรับนำไปใช้จ่ายกับกิจกรรมต่างๆ นั่นทำให้คุณเกิดความหิวมากยิ่งขึ้นและทานมื้อกลางวันซึ่งเป็นมื้อต่อไปมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่วิธีการที่ดีเท่าไรนัก

หรือคุณอาจจะทานกาแฟสักแก้วแทนข้าวเช้า หากนั่นไม่ใช่กาแฟดำแล้วละก็ ทั้งน้ำตาลและครีมเทียมหรือนมที่คุณเติมลงไปก็ให้พลังงานสูงไม่แพ้อาหารเช้าหนึ่งมื้อเลยค่ะ ดังนั้นหากต้องการควบคุมอาหารคุณก็ไม่ควรที่จะงดมื้อเช้าให้เปลี่ยนไปเป็นงดอาหารมื้อเย็นหรือควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลงดีกว่า

นอกจากนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่คุณควรรู้ก็คือ การทานอาหารมื้อเช้าเปรียบเสมือนการจุดชนวนให้ร่างการเริ่มต้นระบบเผาผลาญ ดังนั้นคุณจึงควรทานอาหารมื้อเช้าภายใน 1 ชั่วโมงหลังตื่นนอนโดยเลือกเป็นอาหารที่มีประโยชน์และทานง่าย แม้จะรีบแค่ไหนแต่เพื่อร่างกายของคุณก็อย่าลืมหาอะไรรองท้องสักหน่อยนะคะ

2) ไม่ทานข้าว แต่ทานอย่างอื่นแทน

บางคนเมื่อทานข้าวก็อาจจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นกินเยอะเกินไป จึงงดทานข้าวแล้วหาไปทานอย่างอื่นแทน ซึ่งการที่คุณงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งจากที่ปกติเคยทานทุกวันย่อมทำให้คุณเกิดความหิว และหากไม่สามารถควบคุมความหิวนั้นได้ตลอด คุณก็อาจเผลอหยิบอะไรมาทานโดยไม่รู้ตัว หากเป็นอาหารจำพวกผักผลไม้ก็คงไม่เป็นไรแต่ถ้าเผลอทานขนมหรือของขบเคี้ยวต่างๆแทนข้าวละก็นอกจากคุณจะไม่ผอมลงแล้วอาจจะอ้วนขึ้นกว่าเดิมด้วยนะ

คุณควรทราบอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครสามารถอดข้าวได้ตลอดไป ดังนั้นแทนที่จะอด ลองหันมาเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานให้ถูกต้องน่าจะดีกว่า เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายและหลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและไขมันให้ได้มากที่สุดดีกว่างดมื้อนั้นๆไปเลย

3) ลืมเรื่องเครื่องดื่มไปหรือเปล่า

บางคนทานอาหารน้อยลงแล้วแต่อาจจะลืมไปว่าตัวเองยังติดทานเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวาน, น้ำอัดลม เป็นต้น หรือแม้แต่น้ำสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งกว่าจะมีรสชาติหวานอร่อยดื่มแล้วชื่นอกชื่นใจก็ต้องผ่านการเติมน้ำตาลมาเป็นจำนวนมาก ทางที่ดีหากคุณต้องการควบคุมหรือลดน้ำหนักจริงๆก็ควรตัดมันออกไปจากมื้ออาหารอย่างเด็ดขาด โดยอาจเลือกดื่มอย่างอื่นแทนเช่น ชาเขียวสูตรไร้น้ำตาล ไม่ก็ดื่มแต่น้ำเปล่าไปเลย เพราะน้ำเปล่าไม่มีทางทำให้คุณอ้วนขึ้นอย่างแน่นอน

4) ทานสลัดก็จริง แต่ทำไม..

สลัดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารคู่ใจคนที่กำลังลดความอ้วน เพราะไม่ใช่แค่ให้พลังงานต่ำเมื่อเทียบกับอาหารจานหลักอื่นๆแต่ผักผลไม้ต่างๆนั้นยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย บางคนคิดว่าทานสลัดแล้วไม่อ้วน อันที่จริงแล้วมันขึ้นกับปริมาณที่คุณทานเข้าไปมากกว่า เพราะในสลัดนั้นไม่ได้มีแค่ผักผลไม้เพียงอย่างเดียว ยังมีน้ำสลัดหรือเครื่องเคียงอื่นๆอีกมากมายเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นหากคุณต้องการใช้สลัดเป็นอาหารจานหลักในช่วงที่กำลังลดน้ำหนัก คุณจึงควรเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำหรือเปลี่ยนไปทานสลัดน้ำใสแทนและหลีกเลี่ยงการใส่เครื่องเคียงต่างๆที่อาจเพิ่มความอ้วนลงไป

5) ทานมื้อดึก

ช่วงที่เรากำลังนอนหลับร่างกายเราจะใช้พลังงานน้อยลงมากเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวไปไหน
ดังนั้นหากคุณควบคุมอาหารมาตลอดทั้งวันแต่ดันมาตกม้าตายโดยการทานมื้อดึกละก็คงจะไม่ดีแน่ๆ
เพราะพลังงานที่ได้จากอาหารมื้อดึกนั้นเมื่อไม่ได้ถูกใช้ไปก็จะนำไปเก็บสะสมเป็นไขมันในร่างกายนั่นเองทางทีดีคุณไม่ควรที่จะทานอาหารเย็นหลัง 6 โมง

6) ร่างกายชินแล้ว

สำหรับคนที่ควบคุมอาหารมาได้สักพักและพบว่าน้ำหนักไม่ลดลงอีก อาจเป็นเพราะว่าร่างกายของคุณมี
การกรับเปลี่ยนระบบเผาผลาญให้เหมาะสมกับพลังงานที่เราได้รับจากอาหาร ดังนั้นคุณจึงควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยเพื่อเพิ่มการเผาผลาญให้มากขึ้น ซึ่งนอกจากน้ำหนักจะลดลงแล้วยังช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงอีกด้วย

อย่าลืมว่าการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียวนั้นไม่อาจช่วยให้เราผอมถาวรได้ เผลอกินเมื่อไหร่ก็อาจกลับมาอ้วนได้อีกครั้ง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เลิก สิ่งต่างๆที่จะทำให้เรากลับไปอ้วนอีก และหันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง


ถ้าใครที่กำลังควบคุมอาหารอยู่แต่เกิดปัญหาที่ว่าน้ำหนักไม่ยอมลงสักทีแล้วพบว่าตัวเองมีพฤติกรรมการรับประทานเข้าข่ายหนึ่งในห้าข้อนี้ ถ้าหากคุณหลีกเลี่ยงมันได้แล้วปฏิบัติควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นประจำรับรองค่ะว่าไม่นานนักน้ำหนักของคุณจะต้องลดลงอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังได้สุขภาพที่ดีติดตัวไปตลอดอีกด้วย

fitfitclub.blogspot.com

ความสำคัญของการดื่มน้ำหลังออกกำลังกาย

แม้เราจะรู้ดีอยู่แล้วว่าร่างกายของเราไม่สามารถขาดน้ำเป็นเวลานานได้ แต่เราก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มน้ำหลังออกกำลังกายหรือเมื่อมีการเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งส่วนมากเรามักจะสูญเสียน้ำไปในรูปของเหงื่อ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับน้ำเข้าไปทดแทนเพื่อคงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง



ความจริงเกี่ยวกับน้ำ

เกือบ 75% ของน้ำหนักตัวประกอบไปด้วยน้ำซึ่งพบได้ในเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ในหลอดเลือด และในช่องว่างระหว่างเซลล์ การที่เรารู้สึกกระหายน้ำนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเราสูญเสียน้ำมากกว่าน้ำที่เราดื่มเข้าไป โดยเฉพาะตอนออกกำลังกายเราจะมักจะเสียน้ำมากเป็นพิเศษหรือมีเหงื่อออกเยอะกว่าปกตินั่นเอง

การที่เราเหงื่อออกนั้นเป็นกลไกอย่างหนึ่งของร่างกาย ร่างกายเราได้สูญเสียน้ำไปเป็นจำนวนมากเพื่อพยายามรักษาอุณภูมิที่เพิ่มขึ้นให้เย็นลง เพราะเพียงแค่เราเดินเร็วๆในวันที่มีอากาศร้อนเราอาจจะต้องเสียเหงื่อเป็นจำนวนมากเพื่อทำให้ร่างกายกลับสู่อุณหภูมิปกติ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไปนี้

เมื่อเราเล่นกีฬาที่ต้องใช้พลังงานมากหรือเมื่อมีการออกกำลังกายใดๆก็ตาม จากการศึกษาพบว่าเราควรดื่มน้ำล่วงหน้าก่อนทำกิจกรรมนั้นๆเป็นเวลา 2 ชั่วโมง และยังมีคำแนะนำให้ดื่มน้ำตลอดช่วงที่มีการทำกิจกรรมด้วย เราจำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอกับปริมาณน้ำที่สูญเสียไปในรูปของเหงื่อเพื่อเป็นการทดแทนไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากจนเกินไป

สัญญาณของการขาดน้ำ

ขณะที่ออกกำลังกายเราควรให้ความสำคัญกับสัญญาณต่างๆที่แสดงว่าเราเริ่มขาดน้ำเพราะมันจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเราควรได้รับน้ำเพิ่ม โดยส่วนมากเราจะสังเกตอาการขาดน้ำได้จากความรู้สึกกระหาย เมื่อไหร่ที่เราเริ่มรู้สึกกระหายเราก็ควรดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดเข้าไปทดแทน แต่ถ้าเรายังคงปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำต่อไปร่างกายจะมีการรักษาปริมาณน้ำไว้โดยลดการขับปัสสาวะลงซึ่งสามารถสังเกตได้จากปัสสาวะที่มีสีเหลืองเข้มและมีความเข้มข้นมากขึ้น

สัญญาณหรืออาการอื่นๆที่แสดงว่าเรากำลังขาดน้ำในขณะที่ออกกำลังกายก็คืออาการใจสั่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริว หรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียน นอกจากนี้เหงื่ออาจจะหยุดออกและเกิดอาการตาแห้งปากแห้ง และถ้าหากร่างกายขาดน้ำอย่างหนักเราอาจเกิดความรู้สึกมึนงงเพราะระบบหมุนเวียนเลือดไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญๆได้เพียงพอ

การขาดน้ำก่อน ระหว่าง และหลังออกกำลังกาย

ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันการขาดน้ำก็คือการเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า ถ้าเรารู้ว่าเราจะออกกำลังกายอย่างหนัก เราก็ควรเริ่มดื่มน้ำเสียก่อนเพื่อให้มั่นใจได้ว่าร่างกายมีปริมาณน้ำสำรองไว้อย่างเพียงพอ เพราะขณะออกกำลังกายร่างกายจะมีการขับน้ำส่วนเกินนี้ออกไป นอกจากนี้ยังควรพกขวดน้ำติดตัวไว้เสมอขณะออกกำลังกาย หากวันที่จะออกกำลังกายเป็นวันที่มีอากาศร้อนก็ควรเลือกออกกำลังกายในช่วงที่อากาศเย็นที่สุดในวันนั้นหรือออกกำลังกายหลังอาทิตย์ตกก็ได้ และอย่าลืมดื่มน้ำหลังออกกำลังกายด้วยเสมอ

นอกจากนี้หากเราเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ร่างกายของเราอาจสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมไปด้วย แทนที่เราจะดื่มแต่น้ำเปล่าเราอาจเลือกเครื่องดื่มสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเพื่อทดแทนแร่ธาตุที่เสียไปนี้ได้

fitfitclub

ข้อมูลจาก fitday.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อาหารแหล่งโปรตีน มีอะไรบ้างนะ

โปรตีนจัดเป็นสารชีวโมเลกุลขนาดใหญ่ สามารถพบได้ในอาหารหมู่ที่ 1 
หน่วยย่อยของโปรตีนคือ"กรดอะมิโน" ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและ
การทำงานของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นในแต่ละวันเราจึงควรรับประทานอาหารที่มี
โปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

มาดูกันดีกว่าค่ะว่าอาหารชนิดใดบ้างที่อุดมไปด้วยโปรตีน



1) อกไก่

อกไก่หนัก 100 g นั้นมีโปรตีนสูงถึง 30 g เลยทีเดียวและยังมีไขมันต่ำอีกด้วย ขณะที่เนื้อไก่ส่วนอื่นๆจะให้
โปรตีนน้อยกว่่าและมีไขมันสูงกว่า อกไก่จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
อย่างนักเพาะกาย ตัวอย่างเมนูอาหารเช่น อกไก่อบสมุนไพร หรือจะนำอกไก่ต้มใส่ในสลัดก็ได้

2) ปลาทูน่า

เนื้อปล่าอย่างเช่นปลาทูน่านั้นก็ให้โปรตีนสูงไม่แพ้เนื้อไก่เลย เพราะ 100 g ของทูน่ามีโปรตีนถึง 26 g
หากหาซื้อทูน่าสดไม่ได้คุณอาจเลือกเป็นทูน่ากระป๋องแทนซึ่งมีให้เลือกหลากหลายชนิดเช่นทูน่าใน
น้ำมันพืช ทูน่าในน้ำแร่ หรือทูน่าในน้ำเกลือ เป็นต้น นอกจากใส่ในสลัดแล้วอาจทำเป็นยำทูน่าหรือ
ข้าวผัดทูน่าก็ได้

3) ชีส

หลายคนอาจชอบทานชีสเยิ้มๆในพิซซ่า แต่คุณรู้หรือไม่ว่าชีสนั้นก็จัดเป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูงไม่แพ้
เนื้อสัตว์ ตัวอย่างเช่น มอซซาเรลลาชีสหรือคอทเทจชีส 100 g นั้นมีโปรตีนสูงถึง 32 g ซึ่งชีสไม่ได้มี
แค่โปรตีนสูงเท่านั้นแต่ยังมีแคลอรีสูงอีกด้วย ดังนั้นหากทานมากเกินไปคุณอาจจะอ้วนได้

3) สันนอกหมู

สันนอกหมู 100 g มีโปรตีนประมาณ 25 g ส่วนหมูแปรรูปอื่นๆเช่น แฮม 28 g ประกอบด้วยโปรตีน 18 g

4) เต้าหู้

สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์นั้นคุณอาจเลือกทานเต้าหู้แทนได้ แต่เต้าหู้ 100 g จะให้โปรตีนเพียงแค่ 7 g 
เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าเนื้อสัตว์พอสมควร ดังนั้นคุณควรรับประทานอาหารประเภทอื่นที่มีโปรตีนควบคู่ไป
ด้วยเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

5) เมล็ดธัญพืช

ธัญพืชนั้นก็จัดเป็นอาหารที่ให้โปรตีนแก่ร่างกายเช่นกัน และยังเป็นทางเลือกของผู้ที่ทานมังสวิรัตอีกด้วย
ตัวอย่างธัญพืชน้ำหนัก 100 g จะประกอบด้วยโปรตีนดังนี้ เมล็ดแอลมอนด์และเมล็ดทานตะวัน มีโปรตีนประมาณ 21 g, เมล็ดฟักทอง 33 g, ถั่วลิสง 24 g, เมล็ดงา 18 g เป็นต้น แต่นอกจากจะเป็นแหล่งของ
โปรตีนแล้ว ธัญพืชเหล่านี้ยังให้พลังงานสูงอีกด้วยเพราะอุดมไปด้วยไขมันนั่นเอง


วิธีออกกำลังกายสำรับคนน้ำหนักเยอะ

การออกกำลังกายถือเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่เราควรจะปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ
เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เรามีสุขภาพดี
ซึ่งการออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันก็เพียงพอแล้ว

แต่เอ.. น้ำหนักเยอะแบบนี้ ถ้าอยากจะออกกำลังกายควรเลือกกิจกรรมแบบไหนดีนะ
ถ้าให้ไปวิ่งรอบสนามก็คงจะไม่ไหวแน่ๆ

สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะอาจเกิดความท้อแท้เมื่อต้องเลือกชนิดของการออกกำลังกาย
เพราะเมื่อเริ่มต้นออกกำลังกายได้ไม่นานก็จะเกิดความเหนื่อยจนล้มเลิกความตั้งใจไปในที่สุด
และถ้าหากไม่ชินกับการออกกำลังกายหรือไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนก็อาจจะเกิดการบาด
เจ็บตามส่วนต่างๆของร่างกายได้ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่อยากออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น

fitficlub จึงขอนำเสนอวิธีออกกำลังกายสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะให้ลองนำไปปฏิบัติดูนะคะ

1. เดินเร็ว

การเดินเร็วถือเป็นการเริ่มต้นออกกำลังกายที่ดีสำหรับผู้เริ่มต้นลดความอ้วนเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการ
บาดเจ็บที่หัวเข่าและข้อเท้าน้อยกว่าการวิ่ง แต่ก็ควรเลือกรองเท้าที่เหมาะสมและกระชับพอดีกับเท้า ซึ่งขณะเดินเร็วนั้นผู้ปฏิบัติควรก้าวเท้าให้ยาวและเดินให้เร็วในอัตราที่ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไปรวมทั้งแกว่ง
แขนทั้งสองข้างในขณะเดินด้วยเพื่อช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญให้กับร่างกาย 

การเดินเร็วนั้นคุณสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาไม่จำเป็นต้องเป็นที่ฟิตเนสหรือรอบสวนสาธารณะ เช่น
หากคุณต้องการไปซื้อของใกล้ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนจากการใช้รถเป็นเดินเร็วแทน นอกจากจะช่วยประหยัด
หลังงานแล้วยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัวอีกด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถหาเพลงโปรดมาฟังใน
ขณะเดินเร็วเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดหรือความรู้สึกเบื่อได้

2. เล่นฮูลาฮูป

การเล่นฮูลาฮูปจะทำให้คุณไม่เหนื่อยมากแถมยังช่วยลดไขมันรอบเอวได้ดี คุณสามารถออกกำลังกายประเภทนี้ที่บ้านได้ โดยแยกเท้าออกให้พอเหมาะและเหวี่ยงห่วงฮูลาฮูปไปรอบๆเอว สะโพก หรือแม้แต่
ที่ขา การเลือกขนาดของห่วงฮูลาฮูปที่เหมาะสมก็มีความสำคัญเพราะหากขนาดใหญ่เกินไปอาจจะทำให้
รู้สึกเจ็บบริเวณที่เหวี่ยงฮูลาฮูปได้

3. ว่ายน้ำ

ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะหลายคนอาจเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยการว่ายน้ำ เนื่องจากกีฬาชนิดนี้จะช่วยลดความ
เสี่ยงจากการบาดเจ็บที่หัวเข่าและข้อเท้าจากน้ำหนักตัวที่มากเกิน การว่ายน้ำไม่ควรว่ายเร็วจนเกินไป
แต่ควรว่ายอย่างต่อเนื่อง และควรมีการอบอุ่นร่างกายก่อนลงสระเพื่อป้องกันการบาดเจ็บในขณะว่ายน้ำ

การออกกำลังกายแต่ละชนิดนั้นย่อมมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไปซึ่งไม่ได้จำกัดว่า
ผู้ที่มีน้ำหนักเยอะจะต้องเริ่มต้นออกกำลังกายด้วย 3 วิธีนี้เท่านั้น แต่คุณควรเลือกวิธีการออกกำลังกาย
ที่เหมาะสมกับตัวเอง และควรออกกำลังกายแบบผสมผสานจึงจะเกิดผลดีที่สุด

นอกจากนี้ควรออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมด้วยนะคะ อย่าหักโหมมากจนเกินไป
เพราะหากเกิดอาการบาดเจ็บแล้วอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษากว่าที่จะกลับมา
ออกกำลังกายได้ใหม่

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อาหาร 5 หมู่ รู้จักกันดีหรือยัง?

ถ้าพูดถึงอาหารหลัก 5 หมู่นั้น เชื่อว่าทุกคนคงทราบดีว่าอาหารแต่ละหมู่ประกอบด้วยอะไรบ้างใช่ไหมคะ
แต่ก็อาจจะมีสับสนกันบ้างนิดหน่อยว่า หมู่ไหนเป็นอาหารประเภทใดกันแน่

ซึ่งโดยปกติแล้ว ในแต่ละวันเราควรทานอาหารให้ครบทุกหมู่ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับสาร
อาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ เพราะถ้าหากทานหมู่ใดหมู่หนึ่งมากหรือน้อยไป ย่อมเกิดผลเสีย
ต่อสุขภาพตามมาได้ เช่นโรคขาดสารอาหารหรือโรคอ้วนจากการรับประทานอาหารเช่นแป้งกับ
ไขมันมากจนเกินไป แต่ปัญหาเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากเรารู้จักรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
กับความต้องการในแต่ละวัน ดังนั้นเราจึงควรทราบว่าในแต่ละวันนั้นร่างกายต้องการสารอาหารแต่ละ
ประเภทในปริมาณเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้เลือกรับประทานอาหารประเภทนั้นๆได้อย่างเหมาะสมค่ะ



วันนี้ fitfitclub ขอนำเสนอเรื่องราวของอาหารทั้ง 5 หมู่มาทบทวนให้ทราบอีกครั้งนะคะ
  • อาหารหมู่ที่ 1 : อาหารที่ให้โปรตีน 
อาหารจำพวกที่ให้โปรตีนแก่ร่างกายได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว เป็นต้น เมื่อเรารับประทานอาหารที่ให้
โปรตีนเข้าไป มันจะถูกย่อยสลายจนได้สารโมเลกุลเดี่ยวที่มีชื่อว่า"กรดอะมิโน" จากนั้นร่างกายจะนำ
กรดอะมิโนที่ได้ไปเรียงร้อยต่อกันเป็นสายโพลีเปปไทด์และนำไปสร้างเป็นส่วนต่างๆในร่างกายเรา
เช่นนำไปสร้างเป็นแอกตินและไมโอซินซึ่งเป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ เป็นเอนไซม์ ฮอร์โมน
เป็นแอนติบอดีในระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

ส่วนมากร่างกายเราจะไม่นำโปรตีนมาใช้พลังงานเนื่องจากโปรตีนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วเว้นเสียแต่ว่าร่างกายจะอดอาหารเป็นระยะเวลานาน โดยโปรตีน 1 กรัม จะให้
พลังงานประมาณ 4 กิโลแคลอรีค่ะ

  • อาหารหมู่ที่ 2 : อาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรต
อาหารจำพวกที่ให้คาร์โบไฮเดรตแก่ร่างกายได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน เป็นต้น อาหารในกลุ่มนี้
เมื่อผ่านการย่อยและดูดซึมจะได้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่มีคาร์บอน 6 อะตอมเรียกว่าน้ำตาลกลูโคส
นำไปเก็บสะสมที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของไกลโคเจนเพื่อใช้สำหรับเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย
โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี 
  • อาหารหมู่ที่ 3 : อาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่
อาหารจำพวกที่ให้วิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกายได้แก่ ผักต่างๆ
  • อาหารหมู่ที่ 4 : อาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่
อาหารในหมู่ที่ 4 นั้นจะให้สารอาหารเช่นเดียวกับหมู่ที่ 3 แต่จะหมายถึงพวกผลไม้ต่างๆ

เกลือแร่ที่มีความสำคัญของร่างกายเช่น แคลเซียม เหล็ก ไอโอดีน แม็กนีเซียม เป็นต้นซึ่งเกลือแร่
เหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการต่างๆ เช่นช่วยควบคุมสมดุบน้ำในร่างกาย, เป็นส่วนประ
กอบของกระดูกและฟัน, เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมน เป็นต้น หากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอจะ
ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ

สำหรับวิตามินจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆได้แก่ วิตามินที่ละลายในไขมันประกอบด้วยวิตามิน A, D, E และ K กับวิตามินที่ละลายในน้ำเช่น วิตามิน C หน้าที่ของวิตามินก็จะแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่นเป็น
โคแฟกเตอร์ของเอนไซม์ช่วยในกระบวนการสลายสารชีวโมเลกุล เป็นต้น ซึ่งหากขาดวิตามินใดวิตามิน
หนึ่งไปก็จะทำให้เกิดโรคได้
  • อาหารหมู่ที่ 5 : อาหารที่ให้ไขมัน
อาหารจำพวกที่ให้ไขมันแก่ร่างกายได้แก่ น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ซึ่งทั้งน้ำมันและไขมัน
จัดเป็นสารกลุ่มเดียวกันคือสารประเภทลิพิด (lipid) แต่ความแตกต่างของทั้งสองอย่างนั้นให้ดูสถานะ
ที่อุณหภูมิห้อง หากเป็นของแข็งจะเรียกว่าไขมันแต่หากเป็นของเหลวจะเรียกว่าน้ำมัน

สำหรับโครงสร้างของไขมันนั้นจะเรียกว่า "ไตรกลีเซอไรด์" ซึ่งประกอบด้วย "กลีเซอรอล" และกรดไขมัน
อีก 3 โมเลกุลประกอบกัน ไขมันจากสัตว์มักพบได้ในหนังสัตว์เช่นหนังหมูและมีการนำหนังหมูมาผลิต
เป็นน้ำมันหมูสำหรับใช้ประกอบอาหารในครัวเรือน ซึ่งไขมันที่ได้จากสัตว์นั้นจะจัดเป็นไขมันอิ่มตัว หาก
รับประทานมากไปจะเกิดไขมันในเลือดสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด รวมถึงโรคอื่นๆตามมา นอกจากนี้ยัง
สามารถพบได้ในพืชเช่นในน้ำมันปาล์มอีกด้วย ส่วนไขมันประเภทไม่อิ่มตัวมักพบได้ในน้ำมันถั่วเหลือง
น้ำมันมะกอก เป็นต้น

ประโยชน์ของอาหารในหมู่นี้คือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย โดยไขมันจะให้พลังงานสูงกว่า
โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต คือ ไขมัน 1 กรัมจะให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ดังนั้นการรับประทานไขมันมาก
เกินความจำเป็นอาจก่อให้เกิดโรคอ้วนได้

สำหรับอาหารที่ให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตนั้น หากรับประทานมากเกินไปร่างกายก็จะนำไปเก็บ
สะสมในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆซึ่งทำให้อ้วนได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรรับประทานในปริมาณ
ที่พอเหมาะกับความต้องการ

เห็นไหมละคะว่าอาหารแต่ละหมู่นั้นก็มีประโยชน์และหน้าที่ที่แตกต่างกันไป เราจึงควร
รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อที่จะได้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้นในแต่ละวัน
อย่าลืมถามตัวเองนะคะว่า วันนีเราทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่แล้วหรือยัง

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เริ่มต้นลดความอ้วน

ขอสวัสดีและยินดีต้อนรับผู้ที่รักสุขภาพทุกท่าน 
ถ้าคุณกำลังอ่านหัวข้อ "เริ่มต้นลดความอ้วน" นี้อยู่ แสดงว่าคุณเดินมาถูกทางแล้วละค่ะ

ในปัจจุบันโลกของเรามีอาหารที่ล่อตาล่อใจชวนรับประทานมากมายเสียเหลือเกิน
บางทีดึกๆเพื่อนโพสต์รูปของกินใน facebook เราก็เกิดอาการหิวจนต้องรีบหาของกินในตู้เย็นแทบไม่ทัน
ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง ที่ทำให้เรากลายเป็น "คนอ้วน"
ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นเช่นนั้นเลย ซึ่งพอรู้ตัวอีกทีมันก็สายเกินแก้เสียแล้ว!

แต่เอ๊ะ! สายเกินแก้อย่างนั้นหรือคะ? ไม่แน่นอนค่ะ สุภาษิตหนึ่งกล่าวไว้ว่า "ไม่มีใครแก่เกินเรียน"
ดังนั้น ย่อมไม่มีใครแก่เกินลดน้ำหนักอย่างแน่นอนค่ะ

หลายคนอาจจะเริ่มแย้งเล็กๆในใจว่า ถ้าการลดน้ำหนักมันง่ายขนาดนั้น คนก็ผอมกันหมดโลกแล้วสิ!

จริงๆแล้วการเริ่มต้นลดน้ำหนักนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลยนะคะ 
เพียงแต่มีบางสิ่งที่หลายๆคนอาจจะยังขาดไปนั่นก็คือ "ความต่อเนื่อง" ค่ะ

วันนี้ fitfitclub จึงขอเสนอแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจและคิดจะ "เริ่มต้นลดความอ้วน"
ให้ได้รับทราบและลองนำไปปฏิบัติกันดูนะคะ มีเพียง 6 ขั้นตอนง่ายๆเท่านั้นเอง
ซึ่งหากคุณได้ลองปฏิบัติจนครบทั้ง 6 ขั้นนี้แล้ว การลดน้ำหนักนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป



บทความนี้อาจจะยาวไปสักนิด แต่ถ้าได้ลองอ่านรับรองเลยค่ะว่า ต้องเกิดประโยชน์กับตัวคุณแน่นอนค่ะ


ขั้นที่ 1 : สำรวจตัวเอง

การเริ่มต้นสำรวจตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือข้ออื่นใดของการเริ่มต้นลดความอ้วนทั้งหมดค่ะ
นั่นเป็นเพราะคำว่า "อ้วน" ของแต่ละคนนั้นถูกกำหนดเอาไว้แตกต่างกัน บางคนอาจจะไม่ได้อ้วนมาก
จึงพอใจกับน้ำหนักในปัจจุบันทั้งที่ความจริงแล้วน้ำหนักอาจเกินมาตรฐานที่ควรจะเป็นก็ได้ หรือบางที
คุณอาจจะเป็นคนผอมอยู่แล้ว แต่เกิดความรู้สึกว่ายังไม่ได้หุ่นในแบบที่ต้องการจึงพยายามหาทางลด
น้ำหนักลงอีกจนเกิดผลเสียต่อสุขภาพตามมาได้ ดังนั้น คุณจึงจำเป็นต้องทราบก่อนว่าน้ำหนักใน
ปัจจุบันของตัวคุณนั้นเป็นเช่นไรเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งวธีการสำรวจว่าตัว
เองนั้นมีน้ำหนักมากหรือน้อยกว่ามาตรฐานอย่างไรสามารถคำนวณได้ง่ายๆ 2 วิธีดังนี้ค่ะ

  • วิธีที่ 1 คำนวณค่า BMI : สามารถคำนวณได้โดยนำน้ำหนัก (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูงยกกำลังสอง (หน่วยเป็นเซนติเมตร) แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับในตารางว่าน้ำหนักของคุณอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งค่า BMI นั้นจะแบ่งเป็นช่วงๆว่าคุณมีรูปร่างอยู่ในเกณฑ์ใดค่ะ
  • วิธีที่ 2 คำนวณโดยการลบด้วยตัวเลข : ผู้ชายให้นำส่วนสูงลบด้วยเลข 100 ส่วนผู้หญิงให้นำส่วนสูงลบด้วยเลข 110 ก็จะได้เป็นน้ำหนักมาตรฐานของคุณค่ะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีการคำนวณแบบคร่าวๆนะคะ


ขั้นที่ 2 : ยอมรับตัวเอง

หลังจากที่ได้สำรวจตัวเองไปแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการเริ่มต้นยอมรับตัวเองค่ะ สำหรับคนที่มีค่า BMI
อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือผอมแล้วก็ไม่ควรที่จะลดน้ำหนักลงมากเกินไปอีกเพราะจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพได้
คุณควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานนั้นต่อไปแล้วหันมาส่งเสริมสุขภาพด้วยการรับประทาน
อาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ 

ส่วนคนที่รู้ตัวว่าตนเองเริ่มอ้วนหรืออ้วนคุณก็ไม่ควรที่จะรู้สึกแย่หรือตำหนิตัวเอง แต่ควรที่จะตระหนักว่า
ภาวะนี้ที่เกิดขึ้นกับตัวเรานี้จะส่งผลเสียอีกมากมายตามมาในอนาคตซึ่งหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
มากมายเช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น ดังนั้นจะดีกว่าไหม
หากคุณหันมาใส่ใจตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักและเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงมันไปในทางที่ดีขึ้น 


ขั้นที่ 3 : กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

คุณควรมองโลกในแง่ดีค่ะว่า คุณเองก็สามารถผอมและมีสุขภาพดีได้ไม่ต่างจากคนอื่นไม่ว่าในปัจจุบัน
คุณจะมีรูปร่างเป็นเช่นใดก็ตาม ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วการลดความอ้วนก็คงเกิดขึ้นไม่ได้หากคุณยังไม่
พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย รวมทั้งการพักผ่อน เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก รวมทั้งต้องใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติ
อย่างต่อเนื่องอีกด้วย ดังนั้นคุณจะต้องรวบรวมความกล้าเพื่อหยุดปัจจัยด้านพฤติกรรมทั้งหลายที่เป็นตัว
ขัดขวางการมีหุ่นที่ดีของคุณ และกล้าที่จะบอกตัวเองว่า ต่อจากนี้ไปจะไม่มีฉันที่เป็น "คนอ้วน" แบบนี้
อีกแล้ว


ขั้นที่ 4 : หาแรงบันดาลใจ

แรงบันดาลใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สาวอวบหนุ่มอ้วนหลายต่อหลายคนประสบความสำเร็จในการลด
น้ำหนักมานับต่อนับแล้ว ดังเช่นหญิงสาวคนหนึ่งเริ่มต้นลดน้ำหนักเพื่อนักร้องที่ตนเองชอบ คุณเองก็ควร
มีแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นลดน้ำหนักเช่นกัน ซึ่งแรงบันดาลใจไม่จำเป็นต้องไปหาที่ไหนไกลค่ะ อาจ
เริ่มจากคนรอบๆตัวก็ได้เช่น ฉันจะลดน้ำหนักให้กับคนที่ฉันรัก หรือวันแต่งงานฉันจะเป็นเจ้าสาวที่สวย
ที่สุด แต่ถ้าหากหาแรงบันดาลใจไม่ได้จริงๆขอแนะนำว่าให้ใช้ตัวเองเนี่ยแหละค่ะเป็นแรงบันดาลใจว่า 
ต่อไปนี้ฉันจะผอมและมีสุขภาพดีเพื่ออนาคตที่ดีของฉัน

ซึ่งคุณอาจเริ่มต้นสร้างแรงบันดาลใจโดยการหาชุดสวยที่คุณอยากใส่แต่ใส่ไม่ได้มาแขวนไว้ หรือนำ
โปสเตอร์รูปดารานักร้องที่คุณชื่นชอบมาแปะไว้ที่ผนังห้องเพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นแรงบันดาลใจของตัวคุณ
เองก็ได้ค่ะ

ขั้นที่ 5 : วางแผน

ผ่านมาแล้วถึง 4 ขั้นตอนกับการเริ่มต้นลดความอ้วน ใครที่มาถึงขั้นตอนนี้ fitfitclub ก็ขอแสดงความยินดี
ด้วยนะคะ เพราะเส้นชัยนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวคุณแล้ว

การเริ่มต้นวางแผนสำหรับการลดความอ้วนนั้นทำได้ไม่ยากค่ะ ซึ่งแผนการที่เราต้องคำนึงถึงนั้นประกอบ
ด้วย 3 ส่วนหลักๆด้วยกัน ได้แก่ 
  1. การรับประทานอาหาร
  2. การออกกำลังกาย
  3. การนอนหลับพักผ่อน
คุณควรเริ่มต้นวางแผนว่าในแต่ละวันคุณจะปฏิบัติ 3 สิ่งนี้เช่นไร โดยเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับตัวเอง 
ขอย้ำนะคะว่าต้องเหมาะสมกับตัวเองและต้องเหมาะสมกับการมีสุขภาพดีด้วย การหักโหมลดน้ำหนัก
มากจนเกินไปนอกจากจะส่งผลเสียแล้วยังทำให้คุณเกิดความท้อแท้ได้ง่าย ซึ่งนั่นจะทำให้คุณกลับไป
เป็นคนอ้วนเช่นเดิมอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นแผนการในการลดน้ำหนักนอกจากจะต้องมีวิธีการที่เหมาะสมถูก
ต้องแล้ว ยังจะต้องมีช่วงระยะเวลามากเพียงพอให้คุณปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย ซึ่งแผนการ
ที่ดีจะต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณลดน้ำหนักลงได้ แต่จะต้องทำให้คุณสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่มี
พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันที่ดีได้ตลอดไปค่ะ

และนอกจากนี้ คุณไม่ควรใช้แผนลัดเพื่อหวังจะลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้ยาลดน้ำหนักหรือ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนโฆษณากล่าวอ้างในการช่วยควบคุมน้ำหนักกระชับสัดส่วนต่างๆ หรือการอดอาหาร
โดยไม่ออกกำลังกาย เพราะถึงแม้ในที่สุดแล้วคุณจะผอมลงได้อย่างที่ต้องการจริง แต่ผลที่ตามมาหลัง
จากนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการแน่นอนค่ะ เช่นการเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ ซึ่งก็คือการที่คุณต้องกลับมา
อ้วนเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมหลังจากที่คุณเลือกวิธีการลดน้ำหนักแผนลัด เป็นต้น



ขั้นที่ 6 : ดำเนินตามแผนที่วางไว้และบันทึกผล

เมื่อแผนการในการลดน้ำหนักของคุณถูกร่างขึ้นมาแล้ว ก็ได้เวลาที่จะเริ่มลงมือปฏิบัติกันแล้วค่ะ ซึ่งคุณ
ควรเริ่มต้นดำเนินตามแผนการที่วางไว้ในทันทีและไม่ควรทำผิดแผนด้วยนะคะ เพราะจะทำให้คุณควบ
คุมแผนการลดน้ำหนักในช่วงเวลาต่อๆไปได้ยากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้คุณล้มเลิกความตั้งใจในการลดน้ำ
หนักไปได้ นอกจากนี้คุณควรบันทึกผลด้วยว่าในแต่ละวันคุณทำสิ่งที่แผนการของคุณกำหนดไว้สำเร็จ
หรือไม่ อาจบันทึกสัดส่วนของอวัยวะส่วนต่างๆของคุณ เช่น รอบอก, รอบเอว, สะโพก, ต้นแขน, ต้นขา
หรือแม้แต่กระทั่งรอบคอ รวมทั้งจดบันทึกน้ำหนักในแต่ละสัปดาห์เพื่อติดตามผลการเปลี่ยนแปลงที่เกิด
ขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ได้นั้นให้เรานำไปปรับเปลี่ยนแผนการที่เราวางไว้ให้เหมาะสม เช่นหากในสัปดาห์นี้
น้ำหนักของคุณคงที่ คุณอาจจะเพิ่มการออกกำลังกายหรือเปลี่ยนอาหารที่รับประทานอยู่เป็นอย่างอื่นค่ะ
นอกจากนี้ การได้เห็นรูปร่างตัวเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นและมีน้ำหนักที่ลดลงแล้ว ยังเป็นแรง
บันดาลใจอย่างดีให้คุณก้าวต่อไปกับการลดน้ำหนักได้ค่ะ

ขอสรุปหน่อยนะคะเผื่อบางคนอาจจะยังไม่มีเวลาอ่านบทความทั้งหมด

การเริ่มต้นลดความอ้วนที่ถูกต้องนั้น คุณจะต้องหันมา"ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม"การใช้ชีวิตของตนเอง
โดยวางแผนสำหรับการลดน้ำหนักในระยะยาว ซึ่งควรเลือกวิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้องและเหมาะสม
กับตนเองมากที่สุด เพื่อหุ่นที่ดี และสุขภาพที่ดีตลอดไปค่ะ

fitfitclub